เมื่อคุณตกอยู่ในสภาพการณ์ความเคร่งเครียด lucia88 หรือเหตุการณ์ที่น่าสยอง เหตุการณ์แบบนี้ ไม่ใช่กำเนิดเฉพาะนักกีฬาเพียงแค่นั้น แม้กระนั้นสำหรับคนสามัญก็สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเดียวกัน เมื่อกำเนิดสภาพการณ์นี้ขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจของคุณก็จะมากขึ้น หัวใจของคุณเต้นเร็วขึ้น และก็เริ่มมีเหงื่อซึม จิตใจของคุณเริ่มใส่ใจกับเห็ตการณ์นั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สภาพการณ์ที่ร่างกายตื่นตัว นั้นมาจากรูปแบบการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ANS : ในตรงนี้เป็นระบบประสาทซิมพาเทตำหนิก (ระบบประสาทที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว)
วันนี้พวกเรามีบทความที่เกี่ยวกับระบบประสาทซิมพาเทว่ากล่าวก ที่จะมีผลต่อสภาพการณ์จิตใจ เพื่อรู้เรื่องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ระบบประสาทซิมพาเทตำหนิกคืออะไร
ระบบประสาทซิมพาเทตำหนิก (Sympathetic Nervous System : SNS) ซึ่งเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) ซึ่งจะเป็นระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมลักษณะการทำงานของร่างกาย ตัวอย่างเช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ระบบการเผาไหม้พลังงาน Metabolism รวมทั้ง อุณหภูมิร่างกาย
ระบบประสาทซิมพาเทติเตียนก SNS นั้นจะดำเนินการผสมกับระบบประสาทแบบพาราซิมพาเทตำหนิก (PSNS) เพื่อปฏิบัติภารกิจให้สมดุลกัน ในเหตุการณ์ต่างๆกล่าวกล้วยๆเป็น ซิมพาเทว่ากล่าวก เป็นทำให้ร่างกายตื่นตัว พาราซิมพาเทตำหนิกเป็นปฏิบัติงานตรงกันข้ามหมายถึงยั้งสภาพการณ์ตื่นตัว นั่นเอง
ระบบประสาทแบบซิมพาเทว่ากล่าวก นั้นมีความจำเป็น ด้วยเหตุว่าบางทีพวกเราต้องการที่จะให้ร่างกายสนองตอบอย่างเร็วโดยไม่เต็มใจ โดยเฉพาะในเหตุการณ์อันตราย
แนวคิด “จะสู้ หรือ จะหนี ” Fight or Flight
แนวทางหนึ่งที่ระบบประสาทซิมพาเทว่ากล่าวกของพวกเราสามารถดำเนินงานนั้น มีต้นเหตุมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘การต่อสู้หรือหนี’ นี่เป็นการโต้ตอบความตึงเครียดรุนแรงของพวกเรา ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อพวกเรารับทราบว่ามีอะไรบางอย่างที่น่าสยดสยองทางจิตหรือร่างกาย
ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ การโต้ตอบนี้มีความหมายเนื่องมาจากคุณชอบเจอกับเหตุการณ์อันตราย (เป็นต้นว่า สิงโตหรือหมี) ที่คุณควรต้องจัดการโดยทันที – ต่อสู้เพื่อชีวิตของคุณหรือวิ่งหนีให้เร็วที่สุด ตอนนี้ พวกเราไม่ค่อยเจอกับเหตุการณ์ภัยรุกรามที่ร้ายแรงแบบนี้ แต่ ชีวิตยุคใหม่ของพวกเรามีตัวกระตุ้นหลายประเภทที่ยังสามารถกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติเตียนกของพวกเรา อาทิเช่น เมื่อคุณพบขโมย หรือ การวิวาท ระบบประสาทซิมพาเทติเตียนกของพวกเราก็จะสั่งให้พวกเราจะสู้หรือ จะหนี
‘การต่อสู้หรือหนี’ ถูกพรีเซนเทชั่นขึ้นในปี คริสต์ศักราช 1920 โดยนักสรีรวิทยาคนประเทศอเมริกา วอลเตอร์ แคนนอน เมื่อเขามองเห็นว่าร่างกายสามารถย้ายที่ตนเองเมื่อตกอยู่ในอันตรายได้ยังไง ตอนนี้ แนวคิดนี้ได้รับการขยายโดยนักจิตวิทยาเพื่อรวมคำตอบตั้งแต่นี้ต่อไป:
การต่อสู้: การโต้ตอบต่อการคุกคามที่รับทราบด้วยความนิสัยเสีย
การหนี: สนองตอบต่อภัยรุกรามที่รับทราบโดยวิ่งหนี
การหยุดนิ่ง : สนองตอบต่อภัยรุกรามที่รับทราบโดยไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อน เงียบ ไหมสามารถปฏิบัติการกับมันได้
การไกล่เกลี่ย ประณีประณอม : สนองตอบต่อการคุกคามที่รับทราบโดยบากบั่นทำให้ผู้คนพึงพอใจเพื่อหลบหลีกการขัดกัน
ไม่ยากเลยที่จะคิดถึงตอนที่คุณอาจเผชิญกับการโต้ตอบการต่อสู้/การหนี/การหยุดนิ่ง/การไกล่เกลี่ย ประณีประณอม บางครั้งบางคราวในสถานที่ทำงาน (การเช็ดกขอให้กล่าวในที่ชุมชนหรือพบลูกค้าที่โมโห) ในชีวิตส่วนตัวของคุณ (การเชิญชวนใครบางคนออกเดทหรือได้ยินข่าวที่น่าตกใจ) หรือเพียงแค่เดินไปตามถนนหนทาง (มีสุนัขเห่าใส่คุณหรือเจอหน้ากัน) คนขับขี่ที่หยาบ) เหตุการณ์อะไรก็ตามพวกนี้สามารถกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติเตียนกของพวกเราให้เลือกการโต้ตอบด้วยแนวทางใดแนวทางหนึ่งข้างต้น
ไม่มีอะไรไม่ถูกกับการโต้ตอบหรือการหนี ต่อเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อถูกรุกรามทันทีทันใด ร่างกายของคุณได้รับการออกแบบให้ไปสู่การกระทำ (หรือหยุดคุณในทางของคุณ) แม้กระนั้น บางบุคคลอาจมีปัญหากับการโต้ตอบ ‘ต่อสู้หรือจำเป็นต้องต่อสู้’ เสมอๆในชีวิตประจำวัน
โลกยุคใหม่ของพวกเราเต็มไปด้วยความเครียดแล้วก็แรงกดดัน พวกเราก็เลยพบได้บ่อยว่าตัวเองมีปฏิกิริยาสนองตอบต่อความตึงเครียดแบบรุนแรงต่อเหตุการณ์ที่ปลอดภัยหรือน่าสยดสยองจริงๆแต่ ร่างกายของคุณอาจยังรับทราบอย่างนั้นคนที่มีความเคร่งเครียดเรื้อรังหรือกังวลอาจมีอุปสรรคต่อการควบคุมระบบประสาทซิมพาเทตำหนิก ซึ่งแสดงว่าในบางครั้ง ร่างกายของพวกเขาบางทีอาจอยู่ในโหมด “ต่อสู้หรือหนี” โดยตลอด นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาบางทีอาจสนองตอบต่อเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน (อาทิเช่น การสัมมนาเรื่องงานหรือการคุยกันกับคู่ของพวกเขา) ด้วยความนิสัยไม่ดี อ้ำอึ้ง หรือจำต้องออกมาจากเหตุการณ์อย่างเร็ว
สำหรับคนที่มีปฏิกิริยาต่อสู้หรือหลบซ่อนที่มากเกินความจำเป็น การจัดการกับมูลเหตุของความเคร่งเครียดหรือความกลุ้มใจเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับในการเอาชนะปัญหานี้ พวกเขาควรจะหารือหมอหรือนักบำบัดรักษาเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหานี้ อย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อรู้สึกถูกกระตุ้น พวกเขายังสามารถเน้นไปที่การกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทว่ากล่าวกหรือระบบประสาทที่ทำให้ร่างกายบรรเทาหรือเย็นลง โดยการ หายใจเข้าลึกๆหรือยืดกล้ามเบาๆ
เมื่อคุณบริหารร่างกาย ระบบประสาทซิมพาเทตำหนิกจะตระเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับในการบริหารร่างกายโดยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจ รวมทั้งความดันเลือด แม้กระทั้งการคิดเกี่ยวกับการบริหารร่างกายก็อาจส่งผลให้มีการสนองตอบต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ระบบประสาทซิมพาเทติเตียนกของคุณ จะช่วยกระตุ้นให้เพิ่มปริมาณเดกซ์โทรสถูกปลดปล่อยออกมาจากตับเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับคุณ อัตราการเต้นของหัวใจของคุณจะยังคงมากขึ้นตามการออกแรงของคุณในระหว่างการบริหารร่างกาย ต่อจากนั้น ระบบประสาทพาราซิมพาเทติเตียนกของคุณจะเข้ามาแทนที่ โดยการลดระดับอัตราการเต้นของหัวใจให้กลับมาปกติภายหลังที่คุณบริหารร่างกายเสร็จสมบูรณ์แล้ว
การทำงานมากจนเกินความจำเป็นในระบบประสาทซิมพาเทติเตียนก อาจมีความเกี่ยวเนื่องกับโรคเส้นเลือดหัวใจ ดังเช่นว่า ความดันเลือดสูงแล้วก็ภาวการณ์หัวใจล้มเหลว แม้กระนั้น มีการแสดงการบริหารร่างกายเพื่อลดระดับความดันเลือดสูงและก็ผลพวงของลักษณะการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติเตียนก ที่มากจนถึงเกินความจำเป็น
ด้วยเหตุนั้น ในระหว่างที่การบริหารร่างกายบางทีอาจกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเตทิก ของคุณในตอนนี้ lucia88 แล้วก็ยังเกิดผลดีต่อร่างกายโดยรวมและก็สถานการณ์สมดุลในระยะยาวอีกด้วย ทราบอย่างงี้ มาบริหารร่างกายกันเถิด